Health at Home

ศูนย์บริการส่งคนดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยให้คุณถึงที่บ้าน รายวัน รายเดือน ในกรุงเทพและต่างจังหวัด | ผู้ดูแลผ่านการตรวจสอบทักษะในการดูแล และผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญกรรม | ควบคุมโดยทีมพยาบาลของ Health at Home

menu

โรค & การดูแล

ความรู้เรื่อง โรคพาร์กินสัน สาเหตุ อาการ และการรักษา - คุยกับแพทย์ Health at Home

โดย นพ. อัศวิน โรจนสุมาพงศ์ · 27 มิถุนายน 2566

โรคพาร์กินสัน คืออะไร?

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) เป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาทที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำให้มีอาการเกร็ง อาการสั่นแบบควบคุมไม่ได้ อาการเคลื่อนไหวช้า และทรงตัวไม่ดี โรคนี้ส่งผลต่อคุณภาพต่อชีวิตมาก ทั้งกับตัวผู้ป่วยเอง หรือผู้ที่ดูแลหรืออยู่รอบข้าง

โรคพาร์กินสัน แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่ก็สามารถใช้ยาในการควบคุมอาการไม่ให้เป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวันได้ ทั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความรู้และเข้าใจตัวโรคทั้งจากตัวผู้ป่วยเอง และผู้ดูแล เพื่อให้อยู่กับภาวะนี้ได้อย่างเป็นปกติ

โรคพาร์กินสัน เกิดจากอะไร?

โรคพาร์กินสัน เกิดจากความเสื่อมของเซลสมองในส่วนที่เรียกว่า substantia nigra ความเสื่อมทำให้เซลล์สมองส่วนนี้หายไป ซึ่งเซลล์สมองส่วนนี้มีความจำเป็นในการสร้างสารเคมีในสมองที่ชื่อว่า “โดปามีน”

โดปามีน เป็นสารเคมีในสมองที่ใช้ในการสื่อสารระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อเซลล์สมองส่วนที่สร้างเสียหายหรือมีน้อยลง สารโดปามีนน้อยลง จึงทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติ เคลื่อนไหวช้าลง มีลักษณะอาการเคลื่อนไหวผิดปกติ

ความเสื่อมหรือการลดลงของเซลล์สมองมีกระบวนการที่เป็นไปอย่างช้า ๆ อาการมักเกิดขึ้นหลังจากที่เซลล์สมองเสื่อมหรือหายไปประมาณ 50%

ในปัจจุบัน ยังมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เรื่องจากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดโรคพาร์กินสัน แต่มีการสันนิษฐานว่า สาเหตุเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยทำให้เป็นโรค

  • พันธุกรรม จากการศึกษาพบว่ายีนมีส่วนที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเสี่ยงเกิดโรคพาร์กินสันได้ง่ายขึ้น
  • ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับสารเคมีทางการเกษตร (ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า) การได้รับผลพิษจากการขนส่งจนาจร หรือจากโรงงาน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสันได้ แต่จากผลการสรุปก็ยังไม่สรุปได้ชัดเจน

นอกจากโรคพาร์กินสันแล้ว ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายโรคพาร์กินสันด้วยสาเหตุอื่น ๆ เช่น

  • การได้รับยาบางชนิด (drug-induced parkinsonism) เช่น ยารักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด อาจะทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติคล้ายโรคพาร์กินสันได้ กรณีนี้ การหยุดยามักทำให้อาการดีขึ้น
  • ความผิดปกติของสมองส่วนอื่น ๆ
  • โรคหลอดเลือดสมอง

โรคพาร์กินสัน มีกี่ระยะ?

โรคพาร์กินสัน แบ่งออกเป็น 5 ระยะ เรียงจากระยะต้นซึ่งมีอาการเล็กน้อย ไปจนถึงระยะท้ายที่มีอาการมากจนส่งผลต่อการใช้ชีวิต ได้แก่

พาร์กินสันระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะมีอาการไม่มาก อาการสั่นหรือการเคลื่อนไหวผืดปกติอาจเป็นเพียงข้างเดียว ระยะนี้อาจเห็นท่าทาง ลักษณะการเดิน หรือการแสดงสีหน้าเปลี่ยนแปลง (การทรงตัวเริ่มผิดปกติ สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์)

พาร์กินสันระยะที่ 2 อาการเริ่มเป็นมากขึ้น อาการสั่น หรือ อาการเกร็งของแขนขาเริ่มปรากฏชัดขึ้น และเป็นทั้งสองข้าง รวมถึงมีอาการที่คอและลำตัว การเดินจะเป็นปัญหามากขึ้น การทำกิจวัตรประจำวันจะทำได้ลำบากขึ้น

พาร์กินสันระยะที่ 3 ระยะกลาง ระยะนี้ การทรงตัวแย่ลง ทรงตัวไม่อยู่ขณะหมุนตัวหรือการโดนผลักเบา ๆ ระยะนี้จะมีความเสี่ยงในการล้มมาก การชวยเหลือตัวเองทำได้ลำบากมาก

พาร์กินสันระยะที่ 4 ระยะนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีผู้ดูแลในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ไม่สามารถอยู่ผู้เดียวได้ ผู้ป่วยอาจยืนหรือเดินได้แต่มีความอันตราย จำเป็นต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลือในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน

พาร์กินสันระยะที่ 5 เป็นระยะท้าย ระยะนี้จะมีอาการขาเกร็ง ไม่สามารถเดินหรือยืนได้ ผู้ป่วยมักจะติดเตียง หรือ อยู่บนล้อนั่งอยู่ตลอด จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือตลอดเวลา

อาการของโรคพาร์กินสันเป็นอย่างไร?

โรคพาร์กินสัน แม้ว่าจะเป็นโรคที่แสดงออกเกี่ยวกับความผิดปกติของการเคลื่อนไหว แต่ก็มีอาการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวเกิดร่วมในผู้ป่วยได้ อาการของโรคพาร์กินสัน จึงแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว และ อาการอื่น ๆ

อาการหลักที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ได้แก่

  1. การเคลื่อนไหวช้า
  2. การสั่นของร่างกาย
  3. อาการเกร็งกล้ามเนื้อ (การวินิจฉัยที่เข้าได้กับโรคพาร์กินสัน จะต้องมี อาการเคลื่อนไหวช้า ร่วมกับ การสั่น หรือ การเกร็งอย่างน้อย 1 อาการ)
  4. อาการทรงตัวไม่อยู่ (มักเกิดในช่วงหลังของการดำเนินโรค)

ลักษณะอาการเคลื่อนไหวผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจสังเกตได้ ได้แก่

  1. แกว่งแขนลดลงขณะเดิน
  2. ลุกนั่งหรือเปลี่ยนท่า (เช่น พลิกตะแคงบนเตียง ลุกจากเตียง ลุก-นั่งเก้าอี้หรือเบาะรถ) ได้ลำบากขึ้น
  3. พูดไม่ชัด พูดเสียงเบาหรือแหบแห้ง ฟังลำบาก
  4. อาการยุกยิกหรืออาการอยู่ไม่นิ่ง
  5. เดินซอยก้าวเท้าสั้น ๆ หรือ เดินติดขัด ก้าวขาลำบาก
  6. ใบหน้าเรียบเฉย แสดงอารมณ์น้อยลง
  7. ลักษณะท่าทางตัวงุ้มงอ
  8. ลักษณะการเขียนหนังสือผิดปกติ ตัวหนังสือจะเล็ก ๆ ขยุกขยุย เนื่องจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ

อาการอื่น ๆ นอกจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ ได้แก่

  • ปัญหาภาวะสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า ภาวะวิตกกังล ภาวะแสดงออกทางอารมณ์น้อยกว่าปกติ
  • ปัญหาการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย อาการปวด การนอนผิดปกติ การสื่อสารยาก การรับประทานหรือการกลืนติดขัด
  • ปัญหาด้านสมาธิ ความจำ หรือการรับรู้ เช่น ความจำเสื่อม หลงลทม การเห็นภาพหลอนหรือหูแว่ว
  • ปัญหาด้านการควบคุมการขับถ่าย ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก
  • ประสาทสัมผัสผิดปกติ เช่น ได้กลิ่นลดลง การมองเห็นแย่ลง การรับรู้ความรู้สึกสัมผัสผิดปกติ

วิธีป้องกันโรคพาร์กินสัน

เนื่องจากสาเหตุของโรคพาร์กินสันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด จึงไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการป้องกัน แต่บางงานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายแบบ aerobic exercise สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคพาร์กินสันได้

วัยรุ่นเป็นโรคพารกินสันได้หรือไม่?

แม้ว้าโรคพาร์กินสันจะเกิดกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ แต่พบว่า มีผู้ป่วยบางส่วนที่ถูกวินิจฉัยก่อนอายุ 50 ปี อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย(ประมาณ 2 - 4 % ของผู้ปวยอัลไซเมอร์ทั้งหมด) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุ

อาหาที่ควรเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

  • อาหารไขมันสูง
  • อาหารแปรรูป
  • กรณีที่มีการใช้ยารักษากลุ่ม Levodopa ควรหลีกเลี่ยงธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กจะลดการดูดซึมยา
  • อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • อาหารที่เคี้ยวลำบาก

ยาที่ใช้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

กลุ่มยา Levodopa ช่วยเพิ่มระดับโดปามีนให้สูงขึ้น เช่น Madopar Vopar Sinemet Levomet Stalevo

กลุ่มยา Dopamine agonist เป็นยาที่สังเคราห์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่แทน Dopamine เช่น Pramipexole Apomorphine Bromocriptine Ropinirole

กลุ่มยาที่ยับยั้งเอนไซม์ Cathechol-O-Methyltransferase (COMT) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลาย Dopamine การยับยั้งเอนไซม์นี้ทำให้ Dopamine มีปริมาณมากขึ้นและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น เช่น Entacarpone

กลุ่มยาที่ยับยั้งเอนไซม์ Monoamine Oxidase (MAO inhibitors) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลาย Dopamine การยับยั้งเอนไซม์นี้ทำให้ Dopamine มีปริมาณมากขึ้นและออกฤทธิ์ได้นานขึ้น เช่น Jumex Sefmex Marplan

ที่มาของข้อมูลโรคพาร์กินสัน

ที่มารูปภาพ


นพ. อัศวิน โรจนสุมาพงศ์
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

Related Posts

จะรู้ได้ไงว่าเป็นสมองเสื่อม หรือ อัลไซเมอร์

จะรู้ได้ไงว่าเป็นสมองเสื่อม หรือ อัลไซเมอร์

ผู้ดูแลมืออาชีพ vs พยาบาล vs แม่บ้าน ต่างกันอย่างไร ?

ผู้ดูแลมืออาชีพ vs พยาบาล vs แม่บ้าน ต่างกันอย่างไร ?

เปรียบเทียบ “ราคา” ในการจ้างผู้ดูแล

เปรียบเทียบ “ราคา” ในการจ้างผู้ดูแล